หนัง Tehran (2025) เตหะราน

บทความวิจารณ์ภาพยนตร์: Tehran (2025)

ชื่อเรื่อง: Tehran (เตหะราน) ประเภท: แอ็กชัน, ระทึกขวัญ, ภูมิรัฐศาสตร์ (Action, Geopolitical Thriller) ประเทศ: อินเดีย (ภาษาฮินดี – Bollywood) ผู้กำกับ: อรุณ โคปาลัน (Arun Gopalan) นักแสดงนำ:

  • จอห์น อับราฮัม (John Abraham) รับบทเป็น ราชิฟ กุมาร (Rajiv Kumar)
  • มานูชิ ชิลลาร์ (Manushi Chhillar) รับบทเป็น สารวัตรดิวยา (S.I. Divya)
  • นีรู บัจวา (Neeru Bajwa) รับบทเป็น ชาอิลจา (Shailaja) กำหนดฉาย: 14 สิงหาคม 2025 (ฉายทาง OTT แพลตฟอร์ม ZEE5) คะแนน IMDB (โดยประมาณ): 6.4/10 (อิงจากการประเมินของผู้ชม ณ วันที่เผยแพร่)

 

🎬 เรื่องย่อโดยละเอียด (Plot Summary)

 

Tehran เป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญสายลับที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงของการโจมตีนักการทูตอิสราเอลในกรุงนิวเดลีในปี 2012 โดยมีฉากหลังเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน

  1. เหตุการณ์เริ่มต้นและความแค้นส่วนตัว:
    • เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นด้วยเหตุการณ์ ระเบิดรถยนต์ ที่ตั้งใจโจมตีครอบครัวนักการทูตอิสราเอลในกรุงนิวเดลีในปี 2012 การโจมตีครั้งนี้ทำให้เด็กหญิงชาวอินเดียผู้บริสุทธิ์ที่ขายดอกไม้อยู่ข้างถนนเสียชีวิต ราชิฟ กุมาร (Rajiv Kumar) เจ้าหน้าที่พิเศษ (Special Cell Officer) ของตำรวจเดลีผู้แข็งกร้าวและไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ได้รับมอบหมายให้ทำคดีนี้
    • แม้จะเป็นคดีทางการเมือง แต่การเสียชีวิตของเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์ที่ราชิฟเห็นในโรงพยาบาล ทำให้ภารกิจนี้กลายเป็น ความแค้นส่วนตัว เขาไม่ยอมให้พลเมืองอินเดียกลายเป็น “ความเสียหายข้างเคียง” (collateral damage) ในสงครามของคนอื่น
  2. การสืบสวนและแรงกดดันทางการเมือง:
    • เมื่อสืบสวนลึกลงไป ราชิฟพบหลักฐานที่ชี้ไปยัง กลุ่มปฏิบัติการชาวอิหร่าน ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตี ซึ่งมีเป้าหมายคือการตอบโต้ต่ออิสราเอล
    • ทว่าการค้นพบนี้ทำให้เกิด ความขัดแย้งทางการทูต อย่างหนัก เนื่องจากอินเดียกำลังเจรจาทำข้อตกลงซื้อแก๊สกับอิหร่านครั้งใหญ่ ฝ่ายการเมืองและนักการทูตจึงพยายามกดดันให้ราชิฟยุติภารกิจ หรือพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของสาธารณชนโดยโยนความผิดไปให้ปากีสถานแทน
  3. ปฏิบัติการลับในเตหะราน (Going Rogue):
    • เมื่อรัฐบาลของเขาเลือกผลประโยชน์ทางการทูตและหันหลังให้ ราชิฟจึงตัดสินใจ ปฏิบัติการลับด้วยตนเอง (Goes Rogue) พร้อมทีมงานเล็กๆ (รวมถึงสารวัตรดิวยา และนักการทูตชาอิลจา) เพื่อตามล่าตัวการสำคัญที่สั่งการโจมตี
    • ภารกิจของเขาพาเขาเดินทางจากอาบูดาบีไปยัง กรุงเตหะราน อย่างลับๆ โดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศตนเอง ที่นั่นเขาต้องทำงานกับสายลับ Mossad ของอิสราเอลอย่างไม่เต็มใจ และถูกตามล่าจากกองกำลังอิหร่าน ทำให้เขากลายเป็น “ผี” ที่ไร้ที่พึ่งในดินแดนของศัตรู
  4. การเผชิญหน้าและบทสรุป (The Climax & Spoilers):
    • จุดเปลี่ยนทางศีลธรรม: ในระหว่างภารกิจ ราชิฟได้พบกับตัวละครต่าง ๆ จากทั้งสองฝ่าย รวมถึงสายลับที่ช่วยเหลือเขา ซึ่งทำให้เขามองเห็น “ต้นทุนของสงคราม” และความเจ็บปวดที่ทุกคนแบกรับ
    • ความขัดแย้งภายใน: ราชิฟตามล่าตัว อัฟซาร์ ฮอสไซนี (Afsar Hosseini) ตัวการสำคัญชาวอิหร่านได้สำเร็จ (สปอยล์ใหญ่) แต่กลับพบว่าแม้กระทั่งรัฐบาลอิหร่านเองก็ต้องการกำจัดอัฟซาร์ เพื่อใช้เป็นแพะรับบาปและรักษาผลประโยชน์ของประเทศ
    • ความยุติธรรมในแบบของราชิฟ: แทนที่จะสังหารอัฟซาร์ด้วยมือตนเอง ราชิฟเลือกที่จะมอบปืนให้กับ สเยด อาลี (Syed Ali) ลูกน้องที่ถูกอัฟซาร์ทรยศให้เป็นผู้ลงมือแทน การตัดสินใจนี้ทำให้ราชิฟสามารถหลีกเลี่ยงการกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง และยังคงยึดมั่นใน “ความยุติธรรม” ที่เขาเชื่อ โดยเฉพาะการล้างแค้นให้กับเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์
    • ผลลัพธ์ที่ซับซ้อน: ราชิฟรอดชีวิตกลับมาพร้อมกับภารกิจที่ “สำเร็จ” ในเชิงเทคนิค แต่ภาพยนตร์ไม่ได้นำเสนอสิ่งนี้เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ เพราะแม้ผู้ก่อการร้ายจะถูกกำจัด แต่ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลยังคงดำเนินต่อไป และอินเดียก็สูญเสียข้อตกลงแก๊สไป ภาพยนตร์จบลงด้วยความเงียบสงบของราชิฟ ผู้ซึ่งเลือกหลักการเหนือผลประโยชน์ทางการเมือง

 

📝 บทวิจารณ์ (Critique)

 

  • ความสมจริงและเนื้อหาที่หนักแน่น: Tehran ได้รับคำชมว่าเป็นภาพยนตร์สายลับที่พยายามนำเสนอความเป็นจริง (Grounded Tone) มากกว่าการเป็นหนังแอ็กชันที่โอ้อวด (Jingoism) เนื้อเรื่องเน้นไปที่การเมืองระหว่างประเทศที่ซับซ้อนและผลกระทบของความขัดแย้งต่อพลเมืองผู้บริสุทธิ์ เป็น “Deshbhakti” (ความรักชาติ) ที่ไม่ต้องชูธงหรือตะโกนไชยฮินด์
  • การแสดงของ จอห์น อับราฮัม: จอห์น อับราฮัม ในบท ราชิฟ กุมาร ได้รับคำชมว่าเป็นการแสดงที่มั่นคงและควบคุมอารมณ์ได้ดี (Steady, Controlled Performance) เขาสวมบทบาทเป็นเจ้าหน้าที่ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นส่วนตัวและความเจ็บปวดได้อย่างน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะฉากแอ็กชันที่ยังคงหนักแน่นตามสไตล์ของเขา
  • จุดอ่อน: บทที่ขาดความลึกและความคลุมเครือทางการเมือง:
    • บทที่เร่งรีบ: นักวิจารณ์บางส่วนชี้ว่าภาพยนตร์อัดแน่นไปด้วยรายละเอียดทางการเมืองและตัวละครมากเกินไป ทำให้บางส่วนของพล็อตดูสับสนและขาดความลึกซึ้งทางอารมณ์ โดยเฉพาะช่วงที่ตัวละครหลักเดินทางถึงต่างประเทศ และฉากแอ็กชันสำคัญบางฉากถูกตัดทิ้งหรือไม่ได้แสดงอย่างเต็มที่ (เนื่องจากมีการลดความยาวของภาพยนตร์สำหรับการฉายบน OTT)
    • ความคลุมเครือทางการเมือง: ภาพยนตร์พยายามวางตัวเป็นกลางในความขัดแย้งอิหร่าน-อิสราเอล โดยให้ตัวละครราชิฟกล่าวว่า “ฉันไม่ตัดสิน” แต่การเลือกนำเสนอภาพบางอย่างในหนัง (เช่น การใช้สโลแกน Free Palestine ในฉากฆาตกรรม) ถูกมองว่าเป็นการเลือกข้างอย่างรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ซึ่งทำให้ประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ของหนังดูคลุมเครือและผิวเผินเกินไป
    • บทบาทนักแสดงสมทบหญิง: บทบาทของ มานูชิ ชิลลาร์ ในฐานะนักแสดงนำหญิงถูกมองว่า ถูกลดทอนลงอย่างมาก (Largely Wasted) จนเกือบเป็นตัวประกอบ
  • งานสร้างและการถ่ายทำ: การถ่ายทำภาพยนตร์ดูสมจริงด้วยโทนสีที่ซีดจางและกล้องแบบ Handheld ที่ให้ความรู้สึกตึงเครียด ฉากแอ็กชันทำได้ดีและสมจริงตามแนวทางของหนังระทึกขวัญสายลับร่วมสมัย

ตัวอย่างหนัง

 

สรุปโดยรวม: Tehran เป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญสายลับที่มีความทะเยอทะยาน พยายามสร้างความแตกต่างจากหนังบอลลีวูดทั่วไปด้วยการนำเสนอประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ที่จริงจังและซับซ้อน โดยมีแรงผลักดันอยู่ที่ความมุ่งมั่นส่วนตัวของตัวละครหลัก ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเรื่องราวสายลับที่มีฉากหลังทางการเมือง แต่ต้องพร้อมที่จะติดตามพล็อตที่เข้มข้นและซับซ้อนตลอดเวลา

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *